2.แอลคาร์นิทีน L-Carnitine in Beta-rod Only
( L-carnitine L-tartrate 120 mg. )
L-Carnitine คืออะไร ?
เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ร่างกายจะได้รับจากอาหารที่รับประทาน
และได้รับจากการ สังเคราะห์ขึ้นมา เพื่อกระตุ้นระบบการเผาผลาญให้เกิดประสิทธิภาพ
L-Carnitine สังเคราะห์มากจากกรดอะมิโนไลซีน ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นมา
เองได้ โดยใช้ Vitamin B6 , B5 , Vitamin C , เหล็ก และ กรดอะมิโนเมไทโอนีน
ส่วนแหล่งอาหารที่มี Carnitine ร่างกายจะได้รับมาจากเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ
โดยเฉพาะ อย่างยิ่งเนื้อแดง เช่นเนื้อวัว และเนื้อหมู
Carnitine มีหน้าที่ช่วยนำกรดไขมันเข้าไปเผาผลาญในไมโตคอนเดรีย
(เพื่อเปลี่ยนให้เป็นพลังงาน) คล้ายๆสายพานลำเลียงไขมันไปเผาผลาญนั่นแหละครับ
ซึ่งไมโตคอนเดรียจะทำหน้าที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังงาน คล้ายๆแบตเตอรี่รถยนต์
แอลคาร์นิทีน(L-Carnitine) เป็นชื่อกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ผลิตได้ที่ตับ
โดยมีการสังเคราะห์จากกรดอะมิโน 2 ชนิดคือ Lysine และ Methionine
พร้อมกับอาศัยตัวเร่งให้เกิดการสังเคราะห์ ได้แก่ Niacin วิตามิน B6 C และธาตุเหล็ก
โดยปกติจะพบในสัตว์เนื้อแดงชนิดต่างๆ โดยเฉพาะในส่วนกล้ามเนื้อลายจะมากเป็นพิเศษ
ซึ่งในความเป็นจริงนั้น หน้าที่หลักของ Carnitine จะช่วยลำเลียงโมเลกุลไขมันเล็กๆ
เข้าไปใช้ในเซลล์ต่างๆ ซึ่งในจุดนี้เองที่จะทำให้เกิดการนำไขมันไปเปลี่ยนเป็นพลังงาน
ดังนั้นหากร่างกายขาดสาร Carnitine หรือมีไม่เพียงพอที่จะเป็นตัวพาเม็ดไขมันไปเผาผลาญแล้วละก็ ปัญหาสุขภาพอันเนื่องมาจากไขมันสะสมก็จะเป็นเรื่องตามมาที่สามารถส่งผลเสีย
ต่อร่างกายของคุณอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความอ้วน และ การสะสมของไขมันตามหลอดเลือด
ซึ่งอาจจะส่งผลต่อความยืดหยุ่นของหลอดเลือด และ นำมาซึ่งปัญหาไขมันในเลือดสูงและมีความดันโลหิตสูงตามมาได้ นอกจากนี้ยังอาจจะมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อแขนขา อ่อนเพลีย
ซึมและเหนื่อยง่าย
มีงานวิจัยมากมายที่ยืนยันถึงประโยชน์ของการใช้ L-carnitine ในวงการแพทย์
ไม่ว่าจะเป็นการใช้ในผู้ป่วยที่มีปัญหากล้ามเนื้ออ่อนแรงมาก จนไม่สามารถตั้งศีรษะให้ตรงได้
ซึ่งหลังจากมีการใช้ L-carnitine ขนาด 2 กรัม/วัน อาการดังกล่าวก็หายไป หรือ การใช้ในนักกีฬา
ก็มีการยืนยันว่าสามารถเพิ่มแรงสำหรับการออกกำลังกายหนักๆ เช่น วิ่งมาราธอน
รวมทั้งมีการใช้ L-carnitine เพื่อช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น
ในส่วนบทบาทในการลดน้ำหนักและลดไขมันสะสม ดูเหมือนว่า L-carnitine
น่าจะเป็นคำตอบที่ดีของคุณๆ ที่ประสงค์จะลดน้ำหนักด้วยสารธรรมชาติ
เนื่องจากมีการทดลองนำเอาเซลล์ไขมัน (Adipose Tissue) ของคนอ้วนมาวิเคราะห์
พบว่าในเนื้อเยื่อดังกล่าวแทบจะไม่มี Carnitine อยู่เหลือเลย
ดังนั้นจากความสัมพันธ์นี้เอง ทีมนักวิจัยจึงตั้งสมมติฐานว่า กลไกการลำเลียงไขมันเพื่อไปใช้
หากถูกขัดขวางด้วยวิธีใดก็ตาม ก็จะทำให้เกิดการสะสมของไขมันได้
แต่หากให้สารชนิดนี้เพิ่มเข้าไป ก็จะส่งผลให้อัตราการเผาผลาญของไขมันสะสมมากขึ้น
สิ่งที่ผู้ผลิตอาหารเสริมบอกกับคุณ
ผู้ผลิตอาหารเสริมมักจะบอกว่า การได้รับ L-Carnitine ที่เพียงพอจะช่วยเผาผลาญไขมัน
ได้มากขึ้น และ จะทำให้เซลล์นำไขมันไปเผาผลาญมากขึ้นแทนที่จะสะสมเป็น “ ไขมัน ”
ดังนั้นจึงมีความคิดที่ว่า ถ้าให้ L-Carnitine มากขึ้น ก็น่าที่จะเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น
ดังนั้นจึงมักใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารเสริมสำหรับนักกีฬาและอาหารเสริมลดน้ำหนัก
สิ่งที่ผู้ผลิตอาหารเสริม บอกให้คุณรู้ ทฤษฎีบอกว่าช่วยในการพากรดไขมันเข้าสู่
ไมโตคอนเดรียเพื่อใช้ในการเผาผลาญมากขึ้น
การทดลองหนึ่งในแมวอ้วน เปรียบเทียบกับการได้รับ L-Carnitine 250 มิลลิกรัมต่อวัน
กับไม่ให้ เป็นระยะเวลา 18 สัปดาห์ พบว่าแมวอ้วนที่ได้รับ L-Carnitine น้ำหนักลดลงได้เร็วกว่าจริง
การศึกษาว่าการให้ L-Carnitine จะสามารถช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันในมนุษย์ได้จริง
หรือไม่ น้อยมาก- น้อยมากมาก และเป็นข้อมูลที่ยังขัดแย้งกันอยู่ บางการศึกษาก็บอก
ว่าไม่ช่วย บางการศึกษาบอกว่าช่วยน้อย
โดยปกติแล้วเราเองก็ได้รับ L-Carnitine จากอาหาร และสร้างขึ้นมาในร่างกายได้เอง
และมีการศึกษาว่า L-Carnitine ช่วยลดน้ำหนักได้มาก
มีการศึกษาหนึ่งได้ทดลองให้ L-Carnitine ในหญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีน้ำหนักเกิน
13 คน และเปรียบเทียบกับยาหลอก (ไม่ได้รับ L-Carnitine) 15 คน และให้รับประทาน
อาหารเหมือนๆกัน และออกกำลังกายเหมือนกัน พบความแตกต่างในดัชนีมวลกาย
มีการศึกษาอยู่อีกการศึกษาหนึ่งที่นำหญิงอ้วน 36 ราย ให้ L-Carnitine 4 กรัมต่อวัน
เป็นระยะเวลา 60 วัน ให้ผลแตกต่างจากเม็ดแป้ง ไม่ว่าจะเป็นผลในเรื่องของน้ำหนักตัว
หรือดัชนีมวลกาย แม้แต่การเผาผลาญไขมัน
โดยทั่วไปผลลัพธ์ในเรื่องของการเผาผลาญไขมันโดยใช้ L-Carnitine นั้น
ช่วยในเรื่องของการเร่งการเผาผลาญ
L-Carnitine ค่อนข้างที่จะปลอดภัย และผลข้างเคียงมีน้อยมากๆ
ตอนนี้ยังไม่ปรากฏว่าทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายใดๆ
ถ้าคุณยังเลือกที่จะใช้ L-Carnitine อยู่ ในหลายๆ การศึกษาแนะนำให้รับประทาน
วันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน เช่น ใน Beta-rod ควรจะรับประทานก่อนอาหาร ครั้งละ 2 แคปซูล
Beta-rod คำนวนอย่างลงตัวได้ใกล้เคียงที่สุด คือ 480 มิลลิกรัม ต่อวัน เหมาะสมต่อการใช้สรรพคุณ
( บางการศึกษาใช้มากถึง 5000-6000 มิลลิกรัมอาจมากเปินจำเป็นหรือส่งผลกระทบต่อการนอน )
ดังนั้นถ้าคุณเห็นในสลากอาหารเสริม ( ส่วนใหญ่ ) เขียนไว้ว่ามี L-Carnitine
รวมอยู่เพียงแค่ 20 ,50 หรือ 100 มิลลิกรัมแล้วล่ะก็ ปริมาณเพียงแค่นั้น….ต้องกลับมา
คำนวน DOSE ในการรับประทานต่อวันด้วย
อ้างอิง
-The clinical and metabolic effects of rapid weight loss in obese pet cats and the influence of
supplemental oral L-carnitine. - Center SA - J Vet Intern Med - 01-NOV-2000; 14(6): 598-608 (From
NIH/NLM MEDLINE)
-Carnitine does not improve weight loss outcomes in valproate-treated bipolar patients consuming an
energy-restricted, low-fat diet. - Elmslie JL - Bipolar Disord - 01-OCT-2006; 8(5 Pt 1): 503-7 (From
NIH/NLM MEDLINE)
-L-Carnitine supplementation combined with aerobic training does not promote weight loss in
moderately obese women. - Villani RG - Int J Sport Nutr Exerc Metab - 01-JUN-2000; 10(2): 199-207
(From NIH/NLM MEDLINE)
-Weight loss favorably modifies anthropometrics and reverses the metabolic syndrome in
premenopausal women. - Lofgren IE - J Am Coll Nutr - 01-DEC-2005; 24(6): 486-93
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น