วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

Beta-rod 50 Capsule By Vitamin International

Product New ! Available officially on 19 July 2012 at the past
Goods for High Fiber & Fast Burn
1 Set Perfect sure to Slim & Smart
Original 100%

Factory By Nature nutri co,. Ltd.
Distributor By Vitamin International partnership Only.

Contact 

Website : www.vitamininter.com
Facebook : http://facebook.com/Vitamininter
E-Blog : http://betarodthailand.blogspot.com
E-Mail : vitamininternational@gmail.com
Mobile : 088-5836050 Truemove H Support Facetime

Beta-rod ( Dietary Supplement Product )
Beta-rod Distributor By Vitamin International

Copyright © 1995-2012 Vitamin International Partnership. All Rights Reserved. 

Designated trademarks and brands are the property of their respective owners. 
Use of this Web site constitutes acceptance of the Vitamin Inter User Agreement and Privacy Policy.



Each Capsule Contains :

1. Chitosan 150 mg.
2. L-Carnitine L-Tartrate 120 mg.
3. White kidney bean extact 100 mg.
4. Garcinia Cambogia extract powder (60%HCA) 100 mg.
5. Beta-glucan from brewer's yeast 50mg.
6. Cactus extract 30 mg.
7. Capsicum extract 20 mg.
8. Chromium amino acid chelate 2% 5 mg.
9. Pyridaxine trydrochioride(Vitamin B6) 2 mg.
Capsule No.0 สีขาว
10. Gelatin(USP) 94.08 mg.
11. Tatanium dioxide(USP) 1.92 mg.

Full Total 673 mg.


Vitamin B6 For Beta-rod

9.วิตามินบี 6 Vitamin B6 in Beta-rod Only
(Pyridaxine trydrochioride(Vitamin B6) 2 mg.)

เร่งปฏิกิริยาการดูดซึม ของส่วนประกอบให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดกับส่วนประกอบอื่น


                 วิตามินบี 6  (PYRIDOXINE)  
วิตามินบี 6  มีส่วนประกอบที่สำคัญ 3 ชนิด คือ


                ไพริดอกซีน (Pyridoxine)  ไพริดอกซาล (Pyridoxal) ไพริดอกซามัน (Pyridoxamine)
วิตามิน บีหก ไม่มีกลิ่น มี รสเค็ม ละลายในน้ำได้ และละลายในสารละลายที่เป็นกรดและด่างปานกลาง
แต่สลายตัวได้ง่ายเมื่อถูกแสงแดด ไพริดอกซีน ทนต่อความร้อนมากกว่าไพริดอกซาลและไพริดอกซามิน

                 วิตามินบี 6  พบใน ตับ เครื่องในสัตว์ เนื้อ ปลา นม ไข่แดง ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ข้าวซ้อมมือ รำข้าว จมูกข้าวสาลี มันฝรั่ง ถั่วสด ถั่วเมล็ดแห้ง เมล็ดงา กล้วย แคนตาลูป กะหล่ำปลี น้ำเต้า เห็ด และบริวเวอร์ยีสต์ แต่ที่มีมาก ได้แก่ เนื้อ ข้าวกล้องทั้งเม็ด (ยังไม่ขัดสี) ตับแห้ง และบริวเวอร์ยีสต์  วิตามินบี 6 เป็นตัวสำคัญที่จะทำให้การดูดซึมของวิตามิน บี12 เข้าสู่ร่างกายได้เต็มที่และสมบูรณ์ ,
ช่วยวิตามิน เอฟ (Linoleic acid หรือ Unsaturated fatty acid) ปฎิบัติหน้าที่ดีขึ้น , วิตามิน บีหก นี้เป็นส่วนประกอบของโคเอนไซม์ที่สำคัญตัวหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เผาผลาญ
และใช้คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ให้เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย , การสร้างเซโรโทนิน (serotonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมน ช่วยในการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบ
และมีผลต่อการควบคุมการทำงานของสมองและเนื้อเยื่อ , การสร้างสารภูมิคุ้มกันโรค และสังเคราะห์สารแรกเริ่มของวงแหวนเฟอร์ไฟริน (porphyrinring)
ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเฮโมโกลบิน ,การสร้างกรดอะมิโนที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย ,ช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดโลหิตแดง ,
ช่วยในการปล่อยน้ำตาล (Glycogen) จากตับและกล้ามเนื้อออกมาเป็นกำลังงาน ,ช่วยในการเปลี่ยนทริพ

                  โตฟาน (Tryptophan)
เป็นไนอะซินหรือวิตามิน บีสาม ,วิตามิน บีหก เป็นตัวสำคัญในการสังเคราะห์ และควบคุมการปฎิบัติหน้าที่ของ DNA และ RNA
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการบ่งบอกพันธุกรรม ,ช่วยในการควบคุมความสมดุลของน้ำในร่างกาย และส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และกระดูก ,
ป้องกันการคลื่นไส้ระหว่างตั้งครรภ์ ,มีผลในการรักษาโรคเสื่อมสมรรถภาพของอวัยวะต่าง ๆ โรคหัวใจ และเบาหวาน ,มีผลในการลดระดับคอเลสเตอรอล ,
ป้องกันอาการตื่น และไม่สงบของประสาท นอนไม่หลับ , มีคุณสมบัติเป็นยาขับปัสสาวะธรรมชาติ,ช่วยลดอาการบวมในระยะก่อนมีประจำเดือน

                 ถ้าขาด วิตามินบี 6  ทำให้มีน้ำตาลในเลือดต่ำ อ่อนเพลีย  นิ่วในไต ฟันผุ ติดโรคง่าย เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนอาจจะเกิดผมร่วง บวมระหว่างตั้งครรภ์ เป็นรอยแตกรอบ ๆ ปาก และตา ปากเปื่อย ริมฝีปากและลิ้นเป็นแผล ชาและเป็นตะคริวที่ขา และแขน ความจำเสื่อม การมองเห็นจะไม่เป็นปกติ ประสาทอักเสบ ไขข้ออักเสบ หัวใจจะไม่ปกติ จะมีอาการเกี่ยวกับประสาทด้วย กระวนกระวาย ปวดศีรษะ
นอนไม่หลับ ซึมเศร้า มือเท้าตายเป็นการชั่วคราวปัสสาวะมากกว่าปกติ

                ถ้าปล่อยให้ขาดวิตามิน บีหก ตลอดเวลา ที่ตั้งครรภ์อาจจะทำให้เด็กตายในท้องก่อนคลอดหรือเด็กอาจจะมีอาการชักแล้วแท้ง บางคนมีอาการแสดงของคราบไขมันที่ผิวหนังบริเวณรอบตา บริเวณคิ้ว และมุมปาก (Seborrheic dermatitis) เด็กที่ขาดวิตามิน บีหก จะมีอาการชัก มีอาการอักเสบของประสาทชั่วขณะ


    ข้อมูลทั่วไป
o  วิตามินบี 6  มีส่วนประกอบที่สำคัญ 3 ชนิด คือ ไพริดอกซีน (Pyridoxine) ไพริดอกซาล (Pyridoxal) และไพริดอกซามัน (Pyridoxamine) มีสูตรโครงสร้างประกอบด้วยวงแหวนไพริดิน (Pyridine)วิตามิน บีหก ถ้าทำให้เป็นผลึกจะเป็นสีขาว ไม่มีกลิ่น มี รสเค็ม ละลายในน้ำได้ และละลายในสารละลายที่เป็นกรดและด่างปานกลาง แต่สลายตัวได้ง่ายเมื่อถูกแสงแดด ไพริดอกซีน ทนต่อความร้อนมากกว่าไพริดอกซาลและไพริดอกซามิน  วิตามินบี 6  จัดอยู่ในวิตามินประเภทละลายในน้ำ (Water- Soluble) เป็นสมาชิกสำคัญของวิตามิน บีรวม (B Complex)  วิตามินบี 6  คงทนต่อความร้อนได้ดี และประมาณ 60 % ของ วิตามินบี 6  ในเลือดอยู่ในรูปของ Pyridoxal phosphate (PLP) เป็นโคเอนไซม์ที่ช่วยในปฎิกิริยาการเมแทบอลิซึม ของกรดอะมิโน คาร์โบไฮเดรต และกรดไขมันในร่างกาย
o ประวัติ
                + ค. ศ. 1934 กีเยอร์กี รายงานว่ามีสารอย่างหนึ่งในวิตามิน บี เมื่อหนูขาวขาดสารนี้ จะมีการอักเสบของผิวหนัง
                   หนังจะหนาและลอกตามบริเวณเล็บ มือ จมูก ปาก รอบ ๆ ตา และเรียกชื่อวิตามินนี้ว่า วิตามิน บีหก
                + ค.ศ. 1938 แฮริส และฟอล์กเกอร์ สามารถแยกออกเป็นสารบริสุทธิ์
                + ค.ศ. 1939 คุนห์ และ เวนด์ สามารถสังเคราะห์ ขึ้นมาเป็นสารบริสุทธิ์ได้


    ประโยชน์ต่อร่างกาย
          o เป็นตัวสำคัญที่จะทำให้การดูดซึมของวิตามิน บี12 เข้าสู่ร่างกายได้เต็มที่ และสมบูรณ์
          o Decarboxylation ของกรดอะมิโนหรือเมตาบอลิซึมของไขมันและ กรดนิวคลิอิค (Nucleic acid)
          o ช่วยวิตามิน เอฟ (Linoleic acid หรือ Unsaturated fatty acid) ปฎิบัติหน้าที่ดีขึ้น
          o วิตามิน บีหก นี้เป็นส่วนประกอบของโคเอนไซม์ที่สำคัญตัวหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เผาผลาญ และใช้คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ให้เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
          o การสร้างเซโรโทนิน (serotonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมน ช่วยในการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบ และมีผลต่อการควบคุมการทำงานของสมองและเนื้อเยื่อ
          o การสร้างสารภูมิคุ้มกันโรค และสังเคราะห์สารแรกเริ่มของวงแหวนเฟอร์ไฟริน (porphyrinring) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเฮโมโกลบิน
          o การ สร้างกรดอะมิโนที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น อะลานีน กรดกลูทามิก กรดแอสพาร์ทิก ในตับโดยอาศัยปฎิกิริยาเคลื่อนย้ายหมู่อะมิโน (Transamination)
          o ช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดโลหิตแดง
          o ช่วยในการปล่อยน้ำตาล (Glycogen) จากตับและกล้ามเนื้อออกมาเป็นพลังงาน
          o ช่วนในการเปลี่ยนทริพโตฟาน (Tryptophan) เป็นไนอะซินหรือวิตามิน บีสาม
          o วิตามิน บีหก เป็นตัวสำคัญในการสังเคราะห์ และควบคุมการปฎิบัติหน้าที่ของ DNA และ RNA ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการบ่งบอกพันธุกรรม
          o ช่วยในการควบคุมความสมดุลของน้ำในร่างกาย และส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และกระดูก
          o ป้องกันการคลื่นไส้ระหว่างตั้งครรภ์
          o มีผลในการรักษาโรคเสื่อมสมรรถภาพของอวัยวะต่าง ๆ โรคหัวใจ และเบาหวาน
          o มีผลในการลดระดับคอเลสเตอรอล
          o ป้องกันอาการตื่น และไม่สงบของประสาท นอนไม่หลับ
          o มีคุณสมบัติเป็นยาขับปัสสาวะธรรมชาติ
          o ช่วยลดอาการบวมในระยะก่อนมีประจำเดือน


    * แหล่งที่พบ
          o เมล็ด พืช เมล็ดพืชชั้นในทั้งหลาย เช่น เมล็ดแอพริคอท เมล็ดแตงโม เมล็ดพลับ เมล็ดถั่วอัลมอนด์และจำพวกเมล็ดพืชอื่นๆเช่น เมล็ดทานตะวัน ข้าว ถั่ว และถั่วแมคคาดาเมีย


    * ปริมาณที่แนะนำ
            ทารก                                               0.3 - 0.6 มิลลิกรัม /100 กรัมของโปรตีน / วัน
            เด็ก                                                  0.6 - 1.2 มิลลิกรัม /100 กรัมของโปรตีน / วัน
            ผู้ชาย                                                        2.2 มิลลิกรัม / วัน
            ผู้หญิง                                                       2    มิลลิกรัม / วัน
            หญิงตั้งครรภ์                                         +0.6 มิลลิกรัม / วัน
            หญิงให้นมบุตร                                      +0.5 มิลลิกรัม / วัน

          o วิตามิน นี้ทำหน้าที่ส่วนใหญ่เกี่ยวกับปฎิกิริยาการเมแทบอลิซึมของโปรตีน
เพราะฉะนั้นถ้ากินอาหารโปรตีนมากจะต้องได้รับวิตามินนี้มากด้วย
                                ปริมาณวิตามิน บีหก ที่จัดว่าเป็นปริมาณปลอดภัยคือ วิตามินบีหก 2 มิลลิกรัม สำหรับการได้รับโปรตีนจากอาหาร 100 กรัม
          o เกลือและสังกะสี เป็นอาหารที่สามารถปฎิบัติงานแทนวิตามิน บีหก ได้ในหลาย ๆ สถานการณ์


         ผลของการขาด
          o น้ำตาลในเลือดต่ำ อ่อนเพลีย  นิ่วในไต ฟันผุ ติดโรคง่าย เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
          o เกิดผมร่วง บวมระหว่างตั้งครรภ์ เป็นรอยแตกรอบ ๆ ปาก และตา ปากเปื่อย ริมฝีปากและลิ้นเป็นแผล
          o ชาและเป็นตะคริวที่ขา และแขน ความจำเสื่อม การมองเห็นจะไม่เป็นปกติ ประสาทอักเสบ ไขข้ออักเสบ
          o หัวใจจะไม่ปกติ จะมีอาการเกี่ยวกับประสาทด้วย กระวนกระวาย ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ซึมเศร้า
          o มือเท้าตายเป็นการชั่วคราว
          o ปัสสาวะมากกว่าปกติ
          o ถ้า ปล่อยให้ขาดวิตามิน บีหก ตลอดเวลาที่ตั้งครรภ์อาจจะทำให้เด็กตายในท้องก่อนคลอด หรือเด็กอาจจะมีอาการชักแล้วแท้ง
                             
 ดังนั้นสำหรับหญิงมีครรภ์ควรจะแน่ใจว่าได้ วิตามิน บีหก เพียงพอเพื่อว่าเด็กในท้องจะได้รับวิตามินชนิดนี้พอเพียง

          o บางคนเกิดโลหิตจางแบบ Microcytic hypochromic anemia คือเม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็กซึ่งรักษาโดยให้เหล็ก
                               กรดโฟลิค หรือวิตามิน บีสิบสอง ไม่ได้ผล แต่ถ้าให้วิตามิน บีหก รักษา อาการจะหายไป
          o บางคนมีอาการแสดงของคราบไขมันที่ผิวหนังบริเวณรอบตา บริเวณคิ้ว และมุมปาก (Seborrheic dermatitis)
          o เด็กที่ขาดวิตามิน บีหก จะมีอาการชัก มีอาการอักเสบของประสาทชั่วขณะแต่ไม่รับรองว่าถ้าชักบ่อย แล้วทำให้เกิดความพิการของสมองหรือไม่


    * ผลของการได้รับมากไป
          o จาก การศึกษาพบว่าถึงแม้ฉีดเข้าเส้นไปในปริมาณ 200 มิลลิกรัม
ก็ไม่มีพิษเกิดขึ้นและการได้รับทางปากในปริมาณ 100 - 300 มิลลิกรัมต่อวัน
ก็ไม่ปรากฎว่าการเป็นพิษเกิดขึ้นเช่นกัน แต่ถ้ากินขนาดเป็นกรัม หลายเดือน เช่นขนาด 6 กรัม
นาน 2 เดือน เพื่อรักษาอาการปวดท้องก่อนการมีประจำเดือน
              จะมีผลต่อระบบประสาท มีอาการเดินเซ รอบ ๆ ปาก มือ และเท้าชา ตรวจร่างกายพบว่าเสียความรู้สึกในการรับรู้ตำแหน่งการสั่นสะเทือนของปลายแขน และขา ความเจ็บปวด
              ความรู้สึกร้อน การรับรู้สัมผัส และการสะท้อน (Reflex) อาการจะดีขึ้นเมื่อหยุดวิตามิน บีหกแล้ว 6 เดือน




    * ข้อมูลอื่นๆ
          o การดูดซึม ร่างกายจะดูดซึม วิตามิน บีหก จากอาหารได้เร็วที่ลำไส้เล็กตอนต้น เมื่อเข้าไปในร่างกายจะเปลี่ยนไปเป็น โคเอนไซม์ ในรูปของ
           ไพริดอกซาลฟอสเฟต ที่เหลือจากความต้องการของร่างกายจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะภายใน 8 ชั่วโมง หลังจากบริโภค และไม่เก็บสะสมไว้ที่ตับในรูปของวิตามิน บีหก
           หรือในรูปของกรดไพริดอกซิก ถ้าไม่ปัสสาวะไม่มีสารประกอบตัวนี้แสดงว่าร่างกายได้รับวิตามิน บีหกไม่พอ
                + เด็ก ที่กินอาหารสำเร็จรูปที่มีวิตามินนี้น้อย หรือกินนมที่ถูกความร้อนนานเกินไป ปกติในน้ำนมคน และน้ำนมวัวมีวิตามิน บีหกเพียงพอแต่ถ้าถูกความร้อนนาน วิตามิน บีหก จะถูกทำลาย
                + ผู้ที่กินยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นประจำ ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นฮอร์โมนเพศ ที่จะเพิ่มการเปลี่ยนทริปโทเฟนเป็นไนอาซิน มากขึ้น ดังนั้นความต้องการวิตามินบีหกของผู้ที่กินยาเม็ดคุมกำเนิด
                   จะสูงกว่าปกติ ถ้ารับประทานในปริมาณปกติ อาจจะเกิดการขาดได้
          o สารหรืออาหารเสริมฤทธิ์
                + วิตามิน บีรวม (B Complex)
                + วิตามิน บีหนึ่ง บีสอง บีห้า
                + วิตามิน ซี วิตามิน เอฟ (Linoleic acid)
                + แมกนีเซียม โปตัสเซียม
          o สารหรืออาหารต้านฤทธิ์
                + ยาพวกคอร์ติโซน (Cortisone)
                + ฮอร์โมน เอสโทรเจน (Estrogen)
                + ยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน
          o การประเมิน
                + Plasma PLP หาโดยวิธี Radioenzymatic และ HPLC แต่ตัวที่จะบ่งบอกภาวะของวิตามิน บีหกดีที่สุด ได้แก่
                    การวัด Enzyme activity of erythrocyte aspartate aminotransferase (AST)
                    ก่อนและหลังการกระตุ้นด้วย PLP ค่าปกติของวิตามิน บีหก ในพลาสม่า 5-30 ng/mL และ AST activity เพิ่มขึ้นด้วย PLP < 50 % ถ้ามากกว่า 50 % หมายความว่าขาด
                + ดัชนีบ่งชี้ภาวะวิตามิน บีหก โดยทั่ว ๆ ไปจะใช้วิธีการวัดปริมาณวิตามิน บีหกโดยตรง (Vitamer forms of vitamin b6) หรือใช้วิธีวัด Functional test
                   ซึ่งเป็นวิธีวัดทางอ้อมโดยวัดการทำงานของ Enzyme ที่ขึ้นอยู่กับปริมาณวิตามิน บีหก (Activity of vitamin B6   depen   dent enzyme) ซึ่งเป็นการประเมินภาวะวิตามิน บีหกใน Body fluid ได้ดังต่อไปนี้

                  1. วัดปริมาณ Pyridoxal phosphate (PLP) ในเม็ดเลือดแดง หรือ พลาสมา ซึ่งเป็นการวัดปริมาณ Pyridoxal phosphate โดยตรงและยังมีวิธีการวัด Activity ของ Enzyme ที่ขึ้นอยู่กับวิตามิน บีหกในรูปแบบของ Pyridoxal phosphate โดยทางอ้อม เพราะ Enzyme เหล่านี้จะทำงานได้ดีก็เพราะมี Pyridoxal phosphate เพียงพอ นอกจากนั้นยังขึ้นอยู่กับปริมาณอาหารโปรตีนที่บริโภค และสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการทำงานของ Enzyme alkaline phosphate วิธีการวัดปริมาณ Pyridoxal phoshate ในพลาสมาเป็นการวัดที่นิยมใช้กันมากเมื่อไม่นานนี้ สามารถใช้เลือกที่เจาะจากปลายนิ้วในการวิเคราะห์ซึ่งจะให้ผลเหมือนกันกับ เลือดที่เจาะจากหลอดเลือด Pyridoxal phosphate ค่อนข้างอยู่ตัวสามารถเก็บพลาสมาไว้ได้ที่ - 20  ซ เป็นเวลานาน

                  2. วัดปริมาณวิตามิน บีหก หรือ Metabolite ส่วนใหญ่ของ Pyridoxine คือ 4 - Pyridoxic acid ในปัสสาวะ ความเข้มข้นของ Metabolites ในปัสสาวะจะสะท้อนให้เห็นถึงผลของการบริโภคอาหารที่มีวิตามิน บีหกเมื่อเร็ว ๆ นี้มีมากกว่าที่จะบอกถึง สภาวะของการสะสมวิตามินไว้ในเนื้อเยื่อ เมื่อปริมาณ Pyridoxic acid ในปัสสาวะต่ำกว่า 1 มิลลิกรัม/วัน จะถือว่าขาดวิตามิน บีหก การเก็บปัสสาวะจะใช้วิธีการเก็บในรอบ 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นการยากที่จะเก็บได้ถูกต้องครบถ้วน จำเป็นต้องติดตามควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด วิธีการนี้จึงเหมาะที่จะใช้ในคลินิก หรือ โรงพยาบาล

                  3. วัด Activity ของ Enzyme aminotransferase ในเม็ดเลือดแดง หลักการเหมือนกันกับการประเมินวิตามิน บีหนึ่ง และบีสอง Enzyme aminotransferase ในเม็ดเลือดแดงมีสองชนิด คือ Erythrocyte aspartate aminotransferase (EAST) และ Erythrocytealanine aminotransferase (EALT) วัด Activity ของ Enzyme ในหลอดทดลองโดยการเติมและไม่เติม Pyridoxal 5 phosphate ซึ่งเป็น Coenzyme ของ Enzyme transaminase
                  เมื่อคำนวณค่า Activation Coefficient ได้สูงกว่า 1.5 แสดงว่ามีการขาดวิตามิน บีหก
                  การประเมินภาวะโภชนาการของวิตามิน บีหก โดยการวัดการทำงานของ Enzyme transaminase เป็นการประเมินทางอ้อม และจะสะท้อนให้เห็นถึงภาวะของวิตามิน บีหก ที่ได้มาจากอาหารที่บริโภคในระยะยาว ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของช่วงอายุ ของเม็ดเลือดแดง

                  4. Tryptophan load test เป็นการทดสอบ Function ของ Enzyme หลาย ๆ ชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Enzyme kyureninase ซึ่งมีความไวโดยเฉพาะต่อการขาด วิตามิน บีหกโดยการวัดปริมาณกรด Kyurenic และ Xanthurenic ในปัสสาวะก่อนและหลังการให้รับประทานกรดอะมิโน Tryptophan การเก็บปัสสาวะจะใช้วิธีเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง วิธีการประเมินโดยวิธีนี้จะสามารถตรวจสอบการขาดวิตามิน บีหก ได้ตั้งแต่เริ่มแรก แต่ก็มีปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่มีผลต่อการทดลองนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเก็บตัวอย่างปัสสาวะ ทำให้มีข้อจำกัดต่อการที่จะนำวิธีการทดสอบนี้ไปประยุกต์ใช้

                + วิธีการที่ใช้ในการประเมินภาวะวิตามิน บีหก ในปัจจุบันนี้ คือการวิเคราะห์ปริมาณ Pyridoxal phosphate vitamer forms ของวิตามิน บีหก ในพลาสมา ซึ่ง Beta-rod คำนวนแล้วได้สรรพคุณเต็ม


Chromium For Beta-rod

8.โครเมี่ยม Chromium amino acid in Beta-rod Only
(Chromium amino acid chelate 2% 5 mg.)

                  โครเมียมทำหน้าที่อะไร
                   โครเมียม เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายเพื่อการเจริญเติบโตที่มีสุขภาพที่ดี มันมีความจำเป็นต่อขบวนการแตกของโมเลกุลโปรตีน ไขมัน และ คาร์โบไฮเดรต รองจาก แคลเซียม แล้ว โครเมียม เป็นแร่ธาตุที่ได้รับความนิยมมากสำหรับคนอเมริกันที่รับประทานเป็นประจำ และยังเป็นที่ร่างกายต้องการ โครเมียม ในปริมาณ 20 – 200 ไมโครกรัมต่อวัน โครเมียม มีส่วนในการช่วยรักษาปริมาณน้ำตาลในร่างกายให้คงที่ (ในขบวนการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรต) ในงานวิจัยพบว่า โครเมียม
เป็นส่วนประกอบของสารที่เรียกว่า GTF (Glucose tolerance factor) โดยทำงานร่วมกับ ไนอาซิน และ กรดอะมิโน อีกหลายชนิด นอกจากนั้น โครเมียม อาจมีบทบาทในการเพิ่ม HDL
หรือ คลอเรสเตอรอล ชนิดดี และ ลดระดับ คลอเรสเตอรอล ทั้งหมด

                    โครเมียม จะกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสให้ เป็นพลังงานและขบวนการสังเคราะห์กรดไขมัน และ คลอเรสเตอรอล จึงดูเหมือนว่า โครเมียม จะเพิ่มประสิทธิภาพของอินซูลิน
และการจัดการกับน้ำตาลกูลโคส ป้องกันการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำ (เพราะว่ามีอินซูลินมากเกินไป) หรือโรค เบาหวาน(เพราะว่ามีอินซูลินน้อยเกินไป)

                     จากการศึกษาพบว่า โครเมียม แบบที่เรียกว่า โครเมียมพิกโคลิเนต (Chromium Picolinate) มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงปริมาณของไขมันในร่างกายโดยพบว่า โครเมียมพิกโคลิเนต
อาจจะลดปริมาณไขมัน และกระตุ้นการสร้างมวลกล้ามเนื้อ โดยมีงานวิจัยที่ทดลองให้ โครเมียมพิกโคลิเนต ขนาด 400 ไมโครกรัมต่อวันกับอาสาสมัครเป็นระยะเวลา 3 เดือน พบว่ามีการลดลงของปริมาณไขมันในร่างกายและ น้ำหนักร่างกาย อย่างไรก็ตาม การศึกษาอื่นก็ไม่สามารถยืนยันผลของ โครเมียมพิกโคลิเนต ต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ได้

                     การทดลอง : โครเมี่ยมในการใช้ลดน้ำหนักมีหลายการศึกษาที่ยืนยันว่าได้ผลถ้าใช้ร่วมกับการออกกำลังกายหรือการควบคุมอาหาร แต่การใช้เดี่ยวๆ ผลยังไม่แน่นอน
จากการศึกษา (ข้อมูลจากบทคัดย่อ) เกี่ยวกับผลของ โครเมี่ยม ในผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก 122 คน
โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม

                     กลุ่มหนึ่งให้ได้รับ chromium picolinate 200 ไมโครกรัมต่อวัน
                   
                     กลุ่มได้รับยาหลอก โดยทั้ง 2 กลุ่ม ต้องทำการควบคุมปริมาณอาหารร่วมด้วย
ศึกษาเป็นเวลา 3 เดือนพบว่า น้ำหนักและไขมันลดลงอย่างชัดเจน กลุ่มที่ได้ chromium picolinate
ลดลงเฉลี่ย 7 kg อีกกลุ่มลดลงเฉลี่ย 2 kg (Kaats,1998)
จะเห็นว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ผลการลดน้ำหนักชัดเจนขนาดนี้เนื่องมาจากการที่มีการควบคุมอาหารร่วมด้วย อีกการศึกษาที่เกี่ยวข้องคือ

                     การศึกษาเปรียบการใช้ chromium picolinate 400 ไมโครกรัมต่อวันร่วมกับการออกกำลังกายและไม่ออกกำลังกายโดยศึกษาในหญิงวัยรุ่นที่มีภาวะอ้วนผลพบว่าการออกกำลังกายร่วมด้วยจะทำให้น้ำหนักลดลงได้ (กลุ่มที่ไม่ออกกำลังกายพบว่าเฉลี่ยน้ำหนักเพิ่ม) (Grant,2005) โครเมี่ยมเป็นแร่ธาตุที่จัดได้ว่าไม่มีพิษเมื่อได้รับในขนาดไม่เกิน 1,000 ไมโครกรัม

(พิสิฐ วงศ์วัฒนะ,2547) การศึกษาในคนปัจจุบันข้อมูลมีน้อย มีการศึกษาในสัตว์ทดลองรายการหนึ่งพบว่า chromium picolinate อาจทำลายโครโมโซมได้ในการทดลองได้ทำการฉีดสารละลาย
chromium picolinate 150 ไมโครกรัม เข้าในเส้นเลือดดำบริเวณหางของหนูทุกวันเป็นเวลา 60 วัน
จากผลการทดลองพบโอกาสเกิดพิษค่อนข้างสูงแต่เพื่อให้ผลสรุปที่ชัดเจนต้องทำการศึกษา
และรวบรวมข้อมูลให้มากกว่านี้ (Dion,2003) แต่การใช้ในคนขนาดปกติที่มีการใช้กันในปัจจุบัน
ยังไม่พบ อาการข้างเคียง




Capsicum For Beta-rod

7.สารสกัดจากพริกแดง Capsicum in Beta-rod Only
(Capsicum extract 20 mg.)

                    แคปซิคั่ม (Capsicum) หรือ พริกแดง เป็นพืชในตระกูล Solanaceae
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Capsicum frutescens L.
มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Chilli peppers, chili, chile หรือ chilli
มาจากคำในภาษาสเปน เรียกว่า chile โดยส่วนมากแล้ว
ชื่อเหล่านี้มักหมายถึง พริกที่มีขนาดเล็ก ส่วนพริกขนาดใหญ่ที่มีรสอ่อนกว่าจะเรียกว่า Bell Pepper
ในสหรัฐอเมริกา Pepper ในประเทศอังกฤษและไอร์แลนด์, capsicum ในประเทศอินเดียกับออสเตรเลีย และ Paprika ในประเทศทวีปยุโรปหลายประเทศ พริกชนิดต่างๆ
มีต้นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาซึ่งในปัจจุบันนี้ได้มีปลูกกันในหลายประเทศทั่วโลก
เพราะพริกเป็นเครื่องเทศที่สำคัญชื่อหนึ่ง และยังมีคุณสมบัติเป็นยาสมุนไพรด้วยเช่นกัน
พริกได้รับการนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ เป็นเวลายาวนานหลายพันปีแล้วมีข้อโต้แย้งกันมากเกี่ยวกับปริมาณการกินพริกมากๆอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
เช่น โรคกระเพาะหรือโรคระบบทางเดินอาหาร คำตอบที่ได้คือ การกินพริกไม่ทำให้เกิดผลเสียใดๆ
ต่อสุขภาพ จาการศึกษาเรื่องพริกทั้งอดีตและปัจจุบันพบว่า พริกมีประโยชน์ต่อสุขภาพดังนี้

                        1.บรรเทาอาการไข้หวัดและการหายใจให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น
                            สารแคปไซซิน (Capsaicin) ที่อยู่ในพริกช่วยลดน้ำมูก
                            หรือสิ่งกีดขวางระการหายใจอันเนื่องจากเป็นไข้หวัด
                            ไซนัสหรือโรคภูมิแพ้ต่างๆช่วยบรรเทาอาการไอ

                        2.ลดการอุดตันของหลอดเลือด

                   การอุดตันของหลอดเลือดเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจล้มเหลว หรือ
การเสียชีวิตจากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน การกินพริกเป็นประจำจะช่วยลดอัตราเสี่ยงจากโรคทั้ง 2 ชนิด
                  1.ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดี  ลดความดัน ทั้งนี้เพราะสารจำพวกเบต้าแคโรทีนและวิตามินซีช่วยเสริมสร้างผนังหลอกเลือดให้แข็งแรง
                  2.เพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับเข้ากับแรงดันระดับต่างๆได้ยิ่งดีขึ้น

                       3. ลดปริมาณสารโคเลสเตอรอล แคปไซซิน (Capsaicin) ช่วยป้องกันไม่ให้ตับสร้างโคเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (DLD –high density lipoprotein)
ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างโคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL- high density lipoprotein ) ขึ้นทำให้ปริมาณของไตรกรีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำ
ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพ จากประโยชน์ดังกล่าว เราจึงนำมาเป็นส่วนผสมใน Beta-rod ให้ลงตัวที่สุด

                      4.ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง พริกเป็นพืชที่มีวิตามินซีสูง การกินอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ วิตามินซียั้บยั้งการสร้างสารไนโตรซามีนซึ่งมีสารก่อมะเร็ง ในระบบทางเดินอาหารวิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนที่เป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน รวมทั้งส่วนประกอบของผิวหนัง  กล้ามเนื้อและปอด คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดการแพร่กระจายของเซลล์ร้ายต่างๆได้

                        นอกจากนี้ วิตามินซียังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ(antioxidant ) ทำการหยุดยั้งบทบาทของอนุมูลอิสระ ( free radicals ) ที่ก่อให่เกิดการกลายพันธ์ของเซลล์  สารบีต้าแคโรทีนในพริกช่วยลดอัตราเสี่ยงของ โรคมะเร็งในปอดและในช่องปาก เพราะคนที่กินผักที่มีสารบีต้าแคโรทีนน้อยจะมีความเสี่ยงต่อ การเกิดโรคมะเร็งมากกว่า คนที่กินผักที่มีบีต้าแคโรทีนสูงถึง 7 เท่า สารบีต้าแคโรทีนมีคุณสมบัติช่วยลดอัตราการกลายพันธ์ของเซลล์และทำลายเซลล์มะเร็ง

                      5.บรรเทาอาการเจ็บป่วย มนุษย์ใช้พริกเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดมานานแล้ว เช่น
ลดอาการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และ การอักเสบของผิวหนัง
ปัจจุบันมีการใช้สารแคปไซซิน(Capsaicin) เป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้งใช้บรรเทาอาการปวดอันเนื่องจากผดผื่นคัน และอาการผื่นแดงบนผิวหนัง รวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น อาการปวดประสาทหลังเป็นงูสวัด โรคเกาต์ หรือโรคข้อต่ออักเสบ

                      6.อารมณ์แจ่มใส สารแคปไซซิน(Capsaicin)ช่วยเสริมสร้างอารมณ์สดชื่น เนื่องจากสารนี้มีการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสารเอนดอร์ฟิน (endorphin )ออกฤทธิ์คล้ายมอร์ฟิน คือบรรเทาอาการปวด ทำให้อารมณ์แจ่มใส

                      7.ใช้ป้องกันตัว 20 ปี ที่แล้ว มีสเปรย์ป้องกันตัวยี่ห้อหนึ่ง
มีพริกเป็นส่วนประกอบสำคัญสเปรย์ที่กล่าวถึงนี้ไม่ทำอันตรายถึงชีวิต
แต่ถ้าฉีดเข้าตาโดยตรงอาจทำให้มองไม่เห็นประมาณ 2-3 นาที ระยะเวลาที่ยาวนาน
ไม่ได้ทำให้ความเผ็ดของพริกจางหายไปในขณะเดียวกันมีของการค้นพบ
สรรพคุณทางการแพทย์ของพริกที่สามารถนำมาปรุงเป็นตำรับยารักษาโรคต่าง ๆ
ที่เกิดกับร่างกายของเรา


Cactus For Beta-rod

6.สารสกัดจากกระบองเพชร Cactus in Beta-rod Only
( Cactus extract 30 mg. )

กระบองเพชรอุดมด้วยคุณค่าสารอาหารมากมาย ที่มีประโยชน์ในการลดน้ำหนัก 
ลดไขมันและโคเลสเตอรอล,ลดระดับน้ำตาลและช่วยต่อต่านอนุมูลอิสระได้ด้วย


                  กระบองเพชรเป็นพืชพื้นเมืองที่มีแหล่งกำเนิดในแถบทะเลทราย และชาวพื้นเมืองประเทศ
เม็กซิโกได้ให้ความสำคัญกับกระบองเพชรเป็นย่างมาก สังเกตได้จาก ธงชาติของเม็กซิโกจะมีรูปต้นกระบองเพชรอยู่ด้วย และจากภูมิปัญญาชาวบ้านยังใช้ในการดูแลสุขภาพ และช่วยลดความอยากอาหารควบคุมน้ำหนักมาอย่างต่อเนื่องด้วยประโยชน์นี้นักวิจัยและนักโภชนาการจึงได้พัฒนาคิดค้นด้านสายพันธุ์และทำการวิจัยคิดค้นมากมายจนพบว่า กระบองเพชรอุดมด้วยคุณค่าสารอาหารมากมาย
ที่มีประโยชน์ในการลดน้ำหนัก ,ลดไขมันและโคเลสเตอรอล,ลดระดับน้ำตาลและช่วยต่อต่านอนุมูลอิสระได้ด้วย

                 กลไกการทำงานของกระบองเพชร
                    - ช่วยลดการดูดซึมไขมันเข้าสู่ร่างกาย
                    - ช่วยสลายไขมันเก่า
                    - ไฟเบอร์คุณภาพสูง
                    - กรดอะมิโน,บี3,ไฟเบอร์ ช่วยลดโคเลสเตอรอลLDL,ไตรกลีเซอไรด์ ต่อต้านอนุมูลอิสระ
                    - อุดมด้วยวิตามิน ซี,เอ ลดระดับน้ำตาล
                    - ควบคุมน้ำตาลในกระแสเลือด
                    - กรดอะมิโนที่จำเป็นลดการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่เซลล์

Beta-glucan For Beta-rod

5.เบต้ากลูแคน in Beta-rod Only
(Beta-glucan from brewer's yeast 50mg.)

เบต้ากลูแคน คืออะไร?
                     เบต้ากลูแคน คือ สารอาหารประเภทแป้ง หรือ สารประกอบน้ำตาลหลายโมเลกุลชนิดหนึ่ง
( Polysaccharide ) โพลิแซคคาไรด์ ซึ่งแตกต่างจากน้ำตาลโมเลกุลเดียว และน้ำตาลโมเลกุลคู่
มีคุณสมบัติมหัสจรรย์ที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย และป้องกันโรคติดเชื้อจากจุลชีพ
                     เบต้ากลูแคนสามารถพบได้ใน เห็ดหลินจือ ข้าวโอ้ต ข้าวบาร์เลย์ และยีสต์
ปัจจุบันจะนำเบต้ากลูแคนสกัดไปใส่ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางค์ยี้ห้อชั้นนำต่างๆ และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมทั้งในรูปแบบ ผง เม็ด แคปซูล หรือ แบบเจล หรือ แม้แต่ใช้ในการบำบัดรักษาโรคมะเร็งเป็นการรักษาทางเลือกในต่างประเทศ และได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศ ญี่ปุ่น และ สวิตเซอร์แลนด์

ลักษณะโครงสร้างเบต้ากูลแคนแบ่งเป็น 2 แบบ

   1. เบต้ากลูแคนแบบ 1,3 1,6 พบ ในเห็ดและยีสต์     ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

   2. เบต้ากลูแคนแบบ 1,3 1,4 พบ ในข้าวโอ้ตและข้าวบาร์เลย์   ช่วยเกี่ยวกับการควบคุมน้ำหนัก

การรับรองและบทพิสูจน์เบต้ากลูแคนจากทั่วโลกว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้จริง

 1. มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด Harvard University มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกที่อเมริกา
โดย ดร.จอยซ์  ซอพ (Joyce Czop, Ph.D)
ได้วิจัยเบต้ากลูแคน และ พบว่าเบต้ากูลแคนสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายได้จริง โดยบริเวณผิวของเยื่อหุ้มเม็ดเลือดขาว (Macrophage) จะมีจุดรับเบต้ากลูแคน 1,3 1,6 ซึ่งจะสามารถกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. มหาวิทยาลัยทูเลน Tulane University มหาลัยที่มีชื่อเสียงทางด้านระบบภูมิคุ้มกันวิทยาระดับโลก
โดย ดร.ไดลูซิโอ (Dr. DiLuzio)
พบสารที่เรียกว่า " Zymosan "   ซึ่งในปัจจุบันคือ Beta-1,3-D-Glucan  และ มหาวิทยาลัยทูเลน ศ.ดร.นพ.สมศักดิ์ วรคามิน ผู้เขียนหนังสือ
"เบต้ากลูแคนดีที่สุดในโลก ที่มนุษย์เคยค้นพบ" ก็ได้ศึกษาและจบปริญญาเอก เฉพาะ

3. ข้อมูลเบต้ากลูแคนและการวิจัยสามารถหาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.betaglucan.org

ลักษณะเด่นของ " เบต้ากลูแคน "

1. มีส่วนผสมของใยอาหาร "เบต้ากลูแคน" ซึ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิต้านทานโรค
ในร่างกาย ดีที่สุดในโลกที่มนุษย์เคยค้นพบ
" Beta Glucan The World Most Powerful Immune Booster know to Man "
2.  มีลักษณะเป็นของเหลวแบบเจล ร่างกายจึงสามารถดูดซึมไปใช้งานได้ง่ายและรวดเร็ว
ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ 90-100% และมีประสิทธิภาพมากกว่าแบบเม็ดหรือแบบผงถึง 10 เท่า
3. มาจากธรรมชาติ 100% โดยผ่านการพาสเจอร์ไรซ์ กระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูงเท่านั้น
4.  เกิดขึ้นจากการเพาะเลี้ยงยีสต์ดำตามธรรมชาติในสัดส่วนส่วนผสมของสารอาหารที่ เป็นมาตรฐาน
(แตก ต่างจากผลิตภัณฑ์ที่ได้ จากพืช เพราะการเปลี่ยนแปลงของ สภาพแวดล้อม อุณหภูมิ ฯลฯ เป็นผลทำให้สารอาหารที่ผสมอยู่เปลี่ยนแปลงไป)
5. ไม่ว่าใครก็สามารถรับประทานได้ ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ

ทำไมต้อง เบต้ากลูแคนจากยีสต์ดำ?

เบต้ากลูแคนจากยีสต์ดำ (Beta-Glucan) เป็นเบต้ากุลแคนที่มีโครงสร้าง
Beta 1,3 - 1,6 Glucan เกิดจากการเพาะเลี้ยงยีสต์ดำสายพันธ์ Aureobasidium
ด้วยอาหารที่มีสวนผสมของซูโครส รำข้าว วิตามินซี
ผสมกับน้ำที่อุดมด้่วยแร่ธาติผลิตจากธรรมชาติ 100%
โดยยีสต์ดำจะสร้างใยอาหาร เบต้ากลูแคนขึ้นมาพันรอบๆตัวเอง
คำว่ากลูแคนเป็นชื่อเรียกการเรียงตัวของ น้ำตาลกลูโคส โดยมีโครงสร้างการเรียงตัว
คือ
เลข 1,3 เป็น การเรียงตัวของโซ่หลัก
เลข 1,6 เป็น การเรียงตัวของโซ่ข้าง
ส่วนประสิทธิภาพของเบต้ากลูแคนที่สำคัญ
ช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรง กลับเป็นวัยหนุ่มสาวอีกครั้ง

                 เบต้า-กลูแคน กับภูมิคุ้มกัน

                ปกติแล้วรอบๆ ตัวเรามีเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมมากมายหลายชนิด
ไม่ว่าจะเป็นชนิดที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ หรือชนิดที่เกาะอยู่กับตัวมนุษย์ สัตว์และสิ่งของ
หรือ อยู่ในอาหารที่เรารับประทานเข้าไป เชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้จะจู่โจมร่างกายของพวกเราตลอดเวลา แต่เหตุที่เราไม่เจ็บป่วยก็เพราะร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงคอยช่วยต่อสู้

                 ระบบภูมิคุ้มกัน ที่ช่วยป้องกันสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายเบื้องต้น ได้แก่  ผิวหนัง
และ เยื่อบุร่างกายต่างๆ  จะทำหน้าที่ป้องการการผ่านของเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
และ ทำหน้าที่ดักจับสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ร่างกาย  แต่หากมีเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม
ที่สามารถผ่านเข้ามาในร่างกาย หรือที่เรียกว่า แอนติเจน (antigen)
ร่างกายจะมีระบบภูมิคุ้มกันทำงานร่วมกันหลายแบบ โดยเซลล์ที่ทำหน้าที่ในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย สร้างมาจากสเตมเซลล์ (stem cells) ที่อยู่ในไขกระดูก เช่น

1. เซลล์ที่ทำหน้าที่จับกินสิ่งแปลกปลอม ตัวอย่างเช่น แมคโครฟาจ (macrophage), นิวโตรฟิลล์ (neutrophil )

2. เซลล์เม็ดเลือดขาวขนาดเล็กที่เรียกว่า ลิมโฟไซท์ (lymphocyte) แบ่งเป็น B-cells ทำหน้าที่ผลิต สารต่อต้าน และทำลายโดยตรงที่เรียกว่า  แอนติบอดี้ (antibody) และT-cells ทำหน้า ฆ่าหรือทำลาย  เพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรค

3. เซลล์ที่สร้างสารสำคัญที่ช่วยในการทำลายเชื้อโรค เช่น อีโอสิโนฟิลล์ (eosinophil) (อ้างอิงที่ 1)

สำหรับเด็กในวัยเจริญเติบโตแล้ว อาจมีปัญหาเรื่องสุขภาพต่างๆ เช่น เป็นหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล
เจ็บคอ ไอ จาม สารอาหาร ที่ช่วยในเรื่องการเสริม และปรับสมดุลภูมิคุ้มกันของร่างกายคือ
เบต้า-กลูแคน ซึ่งปัจจุบันมีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเทศไทย
มีการนำเบต้า-กลูแคน มาใช้เป็นส่วนผสมในนมผงสำหรับเด็กหลายชนิด

                  เบต้า-กลูแคน (Beta-glucan)
เบต้า-กลูแคน เป็นสารประกอบประเภทน้ำตาลหลายโมเลกุล หรือที่เรียกกันว่าโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) ชนิดหนึ่ง พบได้ในผนังเซลล์ของยีสต์ เห็ดรา ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์
กระบวนการในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของเบต้ากลูเคน

                1. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำลายและตรวจจับสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายของเซลล์เม็ด
เลือดขาวชนิด   แมคโครฟาจ
                2. ควบคุมการหลั่งสาร สำคัญ บางชนิด เช่น อินเตอร์ลิวคิน (  interleukins ) เพื่อกระตุ้นการสื่อสารระหว่างเซลล์ต่างๆ ในระบบภูมิคุ้มกัน และนำไปสู่การทำลายสิ่งแปลกปลอม
                3. กระตุ้นการหลั่งสารสำคัญ colony stimulating factors เพื่อเพิ่มปริมาณการสร้างและการเจริญเติบโตของเม็ดเลือดขาวบางชนิด เช่น neutrophils และ eosinophils จากไขกระดูก ซึ่งกระบวนการเหล่านี้
เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด macrophage
ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ามาสู่ร่างกาย (อ้างอิงที่ 2)

                 มีงานวิจัยมากมายสนับสนุนว่า เบต้า-กลูแคน มีคุณสมบัติในเรื่องการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ตื่นตัวอยู่เสมอ ทำให้ร่างกายสามารถต้านเชื้อโรค และสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น
โดยเฉพาะการกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด macrophage (อ้างอิงที่ 3, 4)
นอกจากนี้แล้ว ยังมีคุณสมบัติด้านอื่นในการช่วยต้านสารก่อมะเร็ง
และยังช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลได้อีกด้วย (อ้างอิงที่ 5, 6) อย่างไรก็ตาม
มีคำแนะนำว่า ห้ามรับประทานร่วมกับยาแก้อักเสบ (ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ)
ชนิด อินโดเมทาซิน (indomethacin) (อ้างอิงที่ 7)
นอกจากเบต้า-กลูแคน แล้ว สารอาหารที่เป็นที่รู้จักกันดีว่าสามารถช่วยเสริมภูมิคุ้มกันได้คือ
วิตามินซี โดยมีงานวิจัยที่สนับสนุนว่า ในช่วงที่ร่างกายติดเชื้อ หรือมีความเครียดนั้น
จะมีระดับความเข้มข้นของวิตามินซีในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว และการเสริมวิตามินซี
สามารถช่วยในเรื่องระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ (อ้างอิงที่ 8)

เอกสารอ้างอิง :

1. ความรู้เบื้องต้นของระบบภูมิคุ้มกัน ศูนย์รวบรวมและวิเคราะห์เชื้อเอชไอวีแห่งประเทศไทย (National HIV Repository Bioinformatic Center; NHRBC) ในความร่วมมือของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดลกับกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข http://www.nhrbc.org/HIV_vaccine/paper16.2.html
2. เบต้ากลูแคนสารมหัศจรรย์จากธรรมชาติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยwww.tistr.or.th/mircen/pdf/beta.pdf
3. Dietary modulation of immune function by beta-glucans. ysiol Behav. 2008 May 23;94(2):276-84. Epub 2007 Dec 4
4. Purification of soluble beta-glucan with immune-enhancing activity from the cell wall of yeast. Biosci Biotechnol Biochem. 2001 Apr;65(4):837-41
5. Beta-glucans in higher fungi and their health effects. Nutr Rev. 2009 Nov;67(11):624-31
6. Effects of beta-glucans on the immune system. Medicina (Kaunas). 2007;43(8):597-606
7. Immunotoxicity of soluble beta-glucans induced by indomethacin treatment. FEMS Immunol Med Microbiol. 1998 Jul;21(3):171-9
8. Immune-enhancing role of vitamin C and zinc and effect on clinical conditions. Ann Nutr Metab. 2006;50(2):85-94. Epub 2005 Dec 21.

Garcinia For Beta-rod

4.ผลส้มแขก Garcinia  in Beta-rod Only
(Garcinia Cambogia extract powder (60%HCA) 100 mg.)

                  ผลส้มแขก เป็นพืชในสกุลการ์ซีเนีย มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า การ์ซีเนีย ไฮดรอกซี ซิตริก แอซิด (Garcinia Hydroxy Citric Acid : HCA)
ผลไม้ในสกุลนี้ส่วนใหญ่จะมีรสชาติค่อนข้างเปรี้ยว (มะขามเปียก ส้มป่อย) เพราะมีกรดผลไม้อยู่เป็นจำนวนมาก เช่น citric acid, tartaric acid, malic acid เป็นต้น
ส้มแขกมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย ศรีลังกา และพบได้ทั่วไปในป่าประเภทร้อนชื้น ในประเทศไทยพบมากทางภาคใต้ ส่วนที่เรียกกันทั่วไปว่า ส้มแขก เป็นเพราะอาหารอินเดียและมาเลเซียหลายชนิด
เช่น แกงกะหรี่ แกงมัสมั่น จะใช้ส้มแขกประกอบอาหารแทนมะขามเปียก  ก็เลยเรียกติดปากกันว่าส้มแขก ที่จริงส้มแขกสามารถปลูกได้ทุกภาคของประเทศไทย
แต่คงเป็นเพราะทางภาคใต้รู้จักที่จะนำส้มแขกมาประกอบอาหารกันมาก ก็เลยปลูกกันมากกว่าที่อื่นๆ

                 ผลส้มแขกในประเทศไทยมีสรรพคุณตามตำราพื้นบ้าน คือ บรรเทาอาการปวดท้องในสตรีมีครรภ์ เป็นยาระบายอ่อนๆ ซึ่งสารในส้มแขกจะถูกขับออกทางไตโดยไม่ ถูกทำลาย (ไม่ผ่านตับ)
และออกฤทธิ์เป็นยาขับปัสสาวะด้วย ก่อนหน้าที่จะมีการค้นพบ
คุณสมบัติพิเศษของผลส้มแขกว่าช่วยลดไขมันส่วนเกินได้ ส้มแขกตากแห้งมีราคาสูงมากในท้องตลาด โดยเฉพาะในตลาดสดต่างจังหวัด
ปัจจุบันส้มแขกตากแห้งมีราคาสูงมากทีเดียว



                สารสกัดจากผลส้มแขกช่วยลดไขมันได้อย่างไร
จากผลการศึกษาวิจัย (ของนักวิทยาศาสตร์ไทย ซึ่งนำโดย ศาสตราจารย์ ดร.พิเชษฐ วิริยะจิตรา และคณะ) ได้กล่าวถึงคุณสมบัติของสารสกัดจากผลส้มแขก (HCA) ว่าสามารถช่วยลดไขมันในร่างกายได้ดี
โดยที่สาร HCA จะไปขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ที่จะเปลี่ยนแป้งและน้ำตาลเป็นไขมันได้บางส่วน
(ร้อยละ ๔๐-๗๐ ซึ่งจะเป็นกระบวนการหลังจากที่ร่างกายได้นำเอาพลังงานที่ควรได้รับจากแป้ง
และน้ำตาลไปใช้อย่างเพียงพอแล้ว) ไขมันจึงถูกสร้างน้อยลงร่างกายมีพลังงานมากขึ้น
เนื่องจาก ไกลโคเจนไม่ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันทั้งหมด เพราะฉะนั้น แหล่งสะสมพลังงานจึงเต็มนานขึ้น
ผลคือ " อิ่มนานขึ้น หิวช้าลง (กินได้น้อย) ลดความอยากอาหารระหว่างมื้อลงได้  "

White Kidney Bean For Beta-rod

3.สารสกัดจากถั่วขาว White Kidney Bean Extact  in Beta-rod Only
(White kidney bean extact 100 mg)

             ถั่วขาว (White Kidney Beans)
                 จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับถั่วเหลือง ถั่วปากอ้า ถั่วแขก และถั่วพู
ลักษณะเป็นฝักที่มีเมล็ดคล้ายรูปไต พบมากในเขตน้ำกร่อย
ขึ้นได้ดีในดินเลนค่อนข้างแข็ง ออกดอกและผลเกือบตลอดทั้งปี
เมื่อนำถั่วขาวมาสกัด จะได้สารสำคัญชื่อ “ฟาซิโอลามิน” (Phaseolamin)
ที่สามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์อะไมเลส (Amylase)
ซึ่งทำหน้าที่ย่อยคาร์โบไฮเดรต ทำให้อาหารประเภทแป้งที่เราบริโภคเข้าไป
ไม่เปลี่ยนสภาพเป็นน้ำตาลทั้งหมด
โดยสารสารฟาซิโอลามีนในถั่วขาวนี้ มีฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการย่อยแป้งเป็นน้ำตาลถึง 66%
แล้วขับถ่ายเป็นแป้งออกไปทั้งหมด
ที่เหลืออีก 34% นั้นเอ็นไซม์จะย่อยน้ำตาลอย่างอิสระเช่นเดิม
แป้งที่เราบริโภคเข้าไปจึงไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายทั้งหมด
การสะสมของไขมันที่เกิดจากการเปลี่ยนรูปของน้ำตาลจึงลดลงด้วย
เมื่อร่างกายได้รับพลังงานลดลง จึงดึงเอาไขมันเก่าที่สะสมไว้มาเผาผลาญ
ทำให้ไขมันในร่างกายลดลงด้วย
วิธีนี้เป็นวิธีลดน้ำหนักส่วนเกินที่ปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ ไม่อดอาหาร
และไม่มีผลกระทบกับสารอาหารชนิดอื่น ๆ
ในร่างกาย และแป้งที่ไม่ถูกย่อยยังจะทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น จึงย่อยลดความอยากอาหารไปด้วยในตัว
ซึ่งแป้งเหล่านี้จะถูกขับถ่ายออกจากร่างกายตามกลไกปกติ

                   ประโยชน์ของสารสกัดจากถั่วขาวในปริมาณ 400-500 มิลลิกรัมต่อวัน
จึงมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก ควบคุมและดูแลไม่ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น
และ ยังช่วยควบคุมสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด
ลดระดับไตรกรีเซอไรด์ในร่างกายอีกด้วย แต่ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ
การจำกัดปริมาณแป้งและน้ำตาลที่บริโภคให้น้อยลง
หรือหันมาเปลี่ยนพฤติกรรมบริโภคอาหารจากธรรมชาติ เช่น
ข้าวซ้อมมือ ซึ่งจะมีใยอาหารช่วยชะลอการย่อยและดูดซึมน้ำตาล
และหนีคอมพิวเตอร์ไปออกกำลังกายบ่อย ๆ แล้วไขมันจะไม่มาเยือน แถมสุขภาพยังดีขึ้น

                   สารสกัดจากถั่วขาว ช่วยดักจับแป้ง และ ไขมัน พร้อมทั้งเร่งเผาผลาญไขมันส่วนเกิน กระชับสัดส่วนให้ได้รูปในยุค 80 เริ่มมีการนำสารสกัดจากพืชจำพวกถั่ว โดยเฉพาะถั่วขาว
(Phaseolus vulgaris) มาใช้ในการลดความอ้วน

                   ตามทฤษฎีแล้วสารสกัดในถั่วนั้น มีสารที่ต้านการทำงานของ enzyme amylase
ที่ใช้ในการย่อย complex carbohydrate เช่น พวกแป้ง/ข้าว ที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่
ให้กลายไปเป็นน้ำตาลที่มีขนาดโมเลกุลเล็กๆ เพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้
ดังนั้นเมื่อเราขัดขวางการทำงานของเอนไซม์นี้ เมื่อเรากินพวกข้าว/แป้ง
ก็จะไม่ถูกย่อยก็ทำให้ร่างกายไม่ได้พลังงานจากการกินของพวกนี้ด้วย
มีรายงานการทดลองทางวิทยาศาสตร์พบว่าการใช้ถั่วขาวนั้นลดน้ำหนักได้จริง
ซึ่งการทดลองกล่าวถึงการใช้ผลิตภัณฑ์สารสกัดจากถั่วขาวที่ขายในท้องตลาด เทียบผลกับยาหลอก

โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 30 คน ผลการทดลองพบว่าหลังจากการทดลอง 1 เดือน

1.กลุ่มที่ใช้สารสกัดถั่วขาวนั้นมีน้ำหนักลดลง 2.9 kg
2.ในขณะที่กลุ่มยาหลอกน้ำหนักลดลง 0.35 kg





L-Carnitine For Beta-rod

2.แอลคาร์นิทีน L-Carnitine in Beta-rod Only
( L-carnitine L-tartrate 120 mg. )

L-Carnitine คืออะไร ?
เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ร่างกายจะได้รับจากอาหารที่รับประทาน
และได้รับจากการ สังเคราะห์ขึ้นมา เพื่อกระตุ้นระบบการเผาผลาญให้เกิดประสิทธิภาพ

L-Carnitine สังเคราะห์มากจากกรดอะมิโนไลซีน  ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นมา
เองได้ โดยใช้ Vitamin B6 , B5 , Vitamin C , เหล็ก และ กรดอะมิโนเมไทโอนีน
ส่วนแหล่งอาหารที่มี Carnitine ร่างกายจะได้รับมาจากเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ
โดยเฉพาะ อย่างยิ่งเนื้อแดง เช่นเนื้อวัว และเนื้อหมู

                Carnitine มีหน้าที่ช่วยนำกรดไขมันเข้าไปเผาผลาญในไมโตคอนเดรีย
(เพื่อเปลี่ยนให้เป็นพลังงาน) คล้ายๆสายพานลำเลียงไขมันไปเผาผลาญนั่นแหละครับ

ซึ่งไมโตคอนเดรียจะทำหน้าที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังงาน คล้ายๆแบตเตอรี่รถยนต์

                แอลคาร์นิทีน(L-Carnitine) เป็นชื่อกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ผลิตได้ที่ตับ
โดยมีการสังเคราะห์จากกรดอะมิโน 2 ชนิดคือ Lysine และ Methionine
พร้อมกับอาศัยตัวเร่งให้เกิดการสังเคราะห์ ได้แก่ Niacin วิตามิน B6 C และธาตุเหล็ก
โดยปกติจะพบในสัตว์เนื้อแดงชนิดต่างๆ โดยเฉพาะในส่วนกล้ามเนื้อลายจะมากเป็นพิเศษ

                ซึ่งในความเป็นจริงนั้น หน้าที่หลักของ Carnitine จะช่วยลำเลียงโมเลกุลไขมันเล็กๆ
เข้าไปใช้ในเซลล์ต่างๆ ซึ่งในจุดนี้เองที่จะทำให้เกิดการนำไขมันไปเปลี่ยนเป็นพลังงาน
ดังนั้นหากร่างกายขาดสาร Carnitine หรือมีไม่เพียงพอที่จะเป็นตัวพาเม็ดไขมันไปเผาผลาญแล้วละก็ ปัญหาสุขภาพอันเนื่องมาจากไขมันสะสมก็จะเป็นเรื่องตามมาที่สามารถส่งผลเสีย
ต่อร่างกายของคุณอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความอ้วน และ การสะสมของไขมันตามหลอดเลือด
ซึ่งอาจจะส่งผลต่อความยืดหยุ่นของหลอดเลือด และ นำมาซึ่งปัญหาไขมันในเลือดสูงและมีความดันโลหิตสูงตามมาได้ นอกจากนี้ยังอาจจะมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อแขนขา อ่อนเพลีย
ซึมและเหนื่อยง่าย

               มีงานวิจัยมากมายที่ยืนยันถึงประโยชน์ของการใช้ L-carnitine ในวงการแพทย์
ไม่ว่าจะเป็นการใช้ในผู้ป่วยที่มีปัญหากล้ามเนื้ออ่อนแรงมาก จนไม่สามารถตั้งศีรษะให้ตรงได้
ซึ่งหลังจากมีการใช้ L-carnitine ขนาด 2 กรัม/วัน อาการดังกล่าวก็หายไป หรือ การใช้ในนักกีฬา
ก็มีการยืนยันว่าสามารถเพิ่มแรงสำหรับการออกกำลังกายหนักๆ เช่น วิ่งมาราธอน
รวมทั้งมีการใช้ L-carnitine เพื่อช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น

               ในส่วนบทบาทในการลดน้ำหนักและลดไขมันสะสม ดูเหมือนว่า L-carnitine
น่าจะเป็นคำตอบที่ดีของคุณๆ ที่ประสงค์จะลดน้ำหนักด้วยสารธรรมชาติ
เนื่องจากมีการทดลองนำเอาเซลล์ไขมัน (Adipose Tissue) ของคนอ้วนมาวิเคราะห์
พบว่าในเนื้อเยื่อดังกล่าวแทบจะไม่มี Carnitine อยู่เหลือเลย
ดังนั้นจากความสัมพันธ์นี้เอง ทีมนักวิจัยจึงตั้งสมมติฐานว่า กลไกการลำเลียงไขมันเพื่อไปใช้
หากถูกขัดขวางด้วยวิธีใดก็ตาม ก็จะทำให้เกิดการสะสมของไขมันได้
แต่หากให้สารชนิดนี้เพิ่มเข้าไป ก็จะส่งผลให้อัตราการเผาผลาญของไขมันสะสมมากขึ้น

               สิ่งที่ผู้ผลิตอาหารเสริมบอกกับคุณ
             ผู้ผลิตอาหารเสริมมักจะบอกว่า การได้รับ L-Carnitine ที่เพียงพอจะช่วยเผาผลาญไขมัน
ได้มากขึ้น และ จะทำให้เซลล์นำไขมันไปเผาผลาญมากขึ้นแทนที่จะสะสมเป็น “ ไขมัน ”

               ดังนั้นจึงมีความคิดที่ว่า ถ้าให้ L-Carnitine มากขึ้น ก็น่าที่จะเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น
ดังนั้นจึงมักใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารเสริมสำหรับนักกีฬาและอาหารเสริมลดน้ำหนัก

              สิ่งที่ผู้ผลิตอาหารเสริม บอกให้คุณรู้ ทฤษฎีบอกว่าช่วยในการพากรดไขมันเข้าสู่
ไมโตคอนเดรียเพื่อใช้ในการเผาผลาญมากขึ้น  

              การทดลองหนึ่งในแมวอ้วน  เปรียบเทียบกับการได้รับ L-Carnitine 250 มิลลิกรัมต่อวัน
กับไม่ให้ เป็นระยะเวลา 18 สัปดาห์ พบว่าแมวอ้วนที่ได้รับ L-Carnitine น้ำหนักลดลงได้เร็วกว่าจริง

             การศึกษาว่าการให้ L-Carnitine จะสามารถช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันในมนุษย์ได้จริง
หรือไม่ น้อยมาก- น้อยมากมาก  และเป็นข้อมูลที่ยังขัดแย้งกันอยู่   บางการศึกษาก็บอก
ว่าไม่ช่วย   บางการศึกษาบอกว่าช่วยน้อย

             โดยปกติแล้วเราเองก็ได้รับ L-Carnitine จากอาหาร และสร้างขึ้นมาในร่างกายได้เอง
และมีการศึกษาว่า L-Carnitine ช่วยลดน้ำหนักได้มาก

              มีการศึกษาหนึ่งได้ทดลองให้ L-Carnitine ในหญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีน้ำหนักเกิน
13 คน และเปรียบเทียบกับยาหลอก (ไม่ได้รับ L-Carnitine) 15 คน และให้รับประทาน
อาหารเหมือนๆกัน และออกกำลังกายเหมือนกัน พบความแตกต่างในดัชนีมวลกาย

             มีการศึกษาอยู่อีกการศึกษาหนึ่งที่นำหญิงอ้วน 36 ราย ให้ L-Carnitine 4 กรัมต่อวัน
เป็นระยะเวลา 60 วัน ให้ผลแตกต่างจากเม็ดแป้ง  ไม่ว่าจะเป็นผลในเรื่องของน้ำหนักตัว
หรือดัชนีมวลกาย  แม้แต่การเผาผลาญไขมัน

             โดยทั่วไปผลลัพธ์ในเรื่องของการเผาผลาญไขมันโดยใช้ L-Carnitine นั้น
ช่วยในเรื่องของการเร่งการเผาผลาญ

             L-Carnitine ค่อนข้างที่จะปลอดภัย และผลข้างเคียงมีน้อยมากๆ
ตอนนี้ยังไม่ปรากฏว่าทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายใดๆ

            ถ้าคุณยังเลือกที่จะใช้ L-Carnitine อยู่ ในหลายๆ การศึกษาแนะนำให้รับประทาน
วันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน  เช่น ใน Beta-rod ควรจะรับประทานก่อนอาหาร ครั้งละ 2 แคปซูล
Beta-rod คำนวนอย่างลงตัวได้ใกล้เคียงที่สุด คือ 480 มิลลิกรัม ต่อวัน เหมาะสมต่อการใช้สรรพคุณ
( บางการศึกษาใช้มากถึง 5000-6000 มิลลิกรัมอาจมากเปินจำเป็นหรือส่งผลกระทบต่อการนอน )

            ดังนั้นถ้าคุณเห็นในสลากอาหารเสริม ( ส่วนใหญ่ ) เขียนไว้ว่ามี L-Carnitine
รวมอยู่เพียงแค่ 20 ,50 หรือ 100 มิลลิกรัมแล้วล่ะก็  ปริมาณเพียงแค่นั้น….ต้องกลับมา
คำนวน DOSE ในการรับประทานต่อวันด้วย


อ้างอิง
-The clinical and metabolic effects of rapid weight loss in obese pet cats and the influence of
supplemental oral L-carnitine. - Center SA - J Vet Intern Med - 01-NOV-2000; 14(6): 598-608 (From
NIH/NLM MEDLINE)

-Carnitine does not improve weight loss outcomes in valproate-treated bipolar patients consuming an
energy-restricted, low-fat diet. - Elmslie JL - Bipolar Disord - 01-OCT-2006; 8(5 Pt 1): 503-7 (From
NIH/NLM MEDLINE)

-L-Carnitine supplementation combined with aerobic training does not promote weight loss in
moderately obese women. - Villani RG - Int J Sport Nutr Exerc Metab - 01-JUN-2000; 10(2): 199-207
(From NIH/NLM MEDLINE)

-Weight loss favorably modifies anthropometrics and reverses the metabolic syndrome in
premenopausal women. - Lofgren IE - J Am Coll Nutr - 01-DEC-2005; 24(6): 486-93

Chitosan For Beta-rod

1.ไคโตซาน Chitosan in Beta-rod Only
(Chitosan 150 mg.)




           ไคโตซาน คืออะไร
             ไคโตซาน (chitosan) คือ สารธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มีในสัตว์กระดองแข็งและขาเป็นปล้อง เช่น เปลือกกุ้ง กั้ง และกระดองปู ซึ่งเมื่อนำมาสกัดแยกเอาแคลเซียม โปรตีน และแร่ธาตุที่ไม่ต้องการออกไป ก็จะได้สารสำคัญที่มีโครงสร้างทางเคมีคล้ายเซลลูโลส เรียกว่า "ไคติน" (chi-tin) และเมื่อนำไคตินผ่านกระบวนการทางเคมีอีกครั้ง ก็จะได้สารที่เรียกว่า "ไคโตซาน"


             ไคโตซาน (chitosan) เป็นสารธรรมชาติที่รู้จักกันมานานกว่า ๑๐๐ ปีแล้ว แต่ไม่ได้มีการศึกษาเพื่อนำมาใช้ จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้มีการรวมตัวกันของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก เพื่อศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติของสารตัวนี้ ซึ่งคุณสมบัติพื้นฐานของไคโตซาน ที่นักวิทยาศาสตร์ต่างศึกษาออกมาได้ผลตรงกัน คือ ไคโตซานเป็นสารที่มีประจุบวก จึงสามารถดักจับไขมันต่างๆที่เป็นประจุลบได้ โดยมีการทดลองใช้สารไคโตซานครั้งแรกในการบำบัดน้ำเสียแบบชีวภาพที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหลังจากนั้นไคโตซานก็ได้เข้าไปมีบทบาทในวงการอุตสาหกรรมหลายสาขา


             ไคโตซาน : สารสารพัดประโยชน์
             สารไคโตซาน นอกจากจะมีคุณสมบัติโดดเด่นทางเคมี คือ มีประจุบวกช่วยในการดักจับไขมันต่างๆแล้ว ไคโตซานยังมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อราและแบคทีเรียด้วย ไคโตซานมีหลายรูปแบบ อาทิเช่น เป็นเส้นใย เป็นแผ่นฟิล์ม เป็นผงฝุ่น เป็นเจล หรือเป็นเสมือนฟองน้ำ ซึ่งสามารถนำไปดัดแปลงใช้กับผลิตภัณฑ์นานาชนิดที่จะมีประโยชน์ต่อคุณภาพชีวิตของคน ตัวอย่างเช่น ในแวดวงความสวยงามหรือวงการเครื่องสำอาง จะใช้ไคโตซานเป็นสารเติมแต่งและเป็นสารพื้นฐานของมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ โลชั่น แชมพู ยาทาเล็บ ครีมกันแดด ลิปสติก ครีมรองพื้น อาแชร์โดว์ ครีมนวดผม สบู่อาบน้ำ น้ำยาบ้วนปาก ยาสีฟัน ว่ากันว่าในอนาคตสารไคโตซานจะเป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางเกือบทุกชนิดเลยทีเดียว

             ในทางการแพทย์สารไคโตซาน
มีคุณสมบัติในการช่วยห้ามเลือด ช่วยดูดซับน้ำเหลือง จึงทำให้บาดแผลต่างๆหายเร็วขึ้น ใช้ทำเส้นไหมสำหรับเย็บแผลผ่าตัด ช่วยลดปัญหาการแพ้ การระคายเคือง ที่อาจจะเกิดจากการใช้เส้นไหมที่ทำจากสารสังเคราะห์ได้เป็นอย่างดี หรือใช้ทำผิวหนังเทียมเพื่อรักษาคนไข้แผลผิวหนังไหม้รุนแรง รักษาเหงือกและฟัน ในด้านการเกษตร จะนำสารไคโตซานมาทำปุ๋ยชีวภาพ เพื่อช่วยในการเจริญเติบโตของต้นไม้และพืชผักต่างๆ เพราะไคโตซานมีองค์ประกอบของไนโตรเจนอยู่ด้วย หรือใช้หุ้มเมล็ดพันธุ์พืชเพื่อยืดอายุการเก็บให้นานขึ้น ในด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอและกระดาษ จะใช้ไคโตซานผสมในเส้นใยเพื่อเสริมความแข็งแรงและ ความเหนียวให้แก่เส้นใย และเยื่อกระดาษ ในด้านสิ่งแวดล้อม จะใช้ไคโตซานดักจับคราบไขมัน หรือโลหะหนักบางส่วนจากน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ทำให้น้ำเสียสะอาดขึ้น


             บิดาแห่งไคโตซาน
ที่จริงเรื่องของไคโตซานนี้ได้มีนักวิทยาศาสตร์ในประเทศต่างๆ  เช่น ยุโรป และอเมริกา ทำการศึกษาวิจัยกันมากมาย แต่ศาสตราจารย์ ดร.ชิกิฮิโร่ ฮิราโน่ (Prof. Shigehiro Hirano) จากมหาวิทยาลัยโตเกียว เป็นนักเคมีชาวญี่ปุ่นที่ทำการศึกษาวิจัยเรื่องไคตินไคโตซานอย่างจริงๆจังๆ มานานเกือบตลอดชีวิต กว่า ๒๐๐ งานวิจัย เขาจึงได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งไคโตซาน ดร.ฮิราโน่กล่าวว่า ถึงแม้เขาจะทำงานวิจัยเรื่องไคโตซานมามาก แต่สารธรรมชาติชนิดนี้ก็ยังเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับเขาอยู่เสมอ เพราะทุกๆครั้งที่ทำการวิจัย เขาก็จะพบคุณสมบัติและประโยชน์ใหม่ๆของไคโตซานอยู่เรื่อยๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อคน สัตว์ พืช และสิ่งแวดล้อม

           ไคโตซานกับการประยุกต์ใช้ในเมืองไทย
ถึงแม้ประเทศต่างๆทั่วโลก จะมีการนำสารไคโตซานมาใช้กว่า ๒๐ ปีมาแล้ว แต่สำหรับประเทศไทย เราเพิ่งจะให้ความสนใจกับสารตัวนี้เมื่อประมาณ ๒ ปีที่แล้วนี่เอง (ทั้งที่มีการศึกษาวิจัยมานานกว่า ๑๐ ปี) และเมื่อไม่นานมานี้ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะ และวัสดุแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ร่วมกับชมรมไคตินไคโตซาน จัดบรรยายพิเศษทางวิชาการเรื่อง "การประยุกต์ใช้อย่างกว้างของสารไคตินไคโตซาน จากอดีต ปัจจุบัน สู่อนาคต" โดยเชิญศาสตราจารย์ ดร.ชิกิฮิโร่ ฮิราโน่ มาเป็นผู้บรรยาย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอย่างมาก เพราะประเทศไทยส่งออกกุ้งแช่แข็งติดอันดับโลก และมีขยะจากเปลือกกุ้ง เปลือกปู ที่เหลือทิ้งจากการนี้มากมาย นำไปขายเป็นอาหารสัตว์กิโลกรัมละไม่กี่บาท แต่ถ้านำมาแปรรูปเป็นสารไคตินไคโตซานแล้ว จะมีราคาถึง ๕,๐๐๐ บาทต่อกิโลกรัมทีเดียว น่าเสียดายที่ไม่มีหน่วยงานใดให้ความสำคัญนำไปใช้อย่างจริงจัง ก็หวังว่าในอนาคตถ้าหากนักวิทยาศาสตร์ไทย สามารถที่จะนำเอาของเหลืออย่างเปลือกปู เปลือกกุ้ง ที่มีอยู่อย่างมากมายมหาศาลหลายล้านตันต่อปีมาสกัดเป็นไคโตซานที่บริสุทธิ์ได้ ก็จะทำเงินให้ประเทศชาติปีหนึ่งไม่ใช่น้อยๆเลย


           ไคโตซานช่วยลดไขมันได้อย่างไร
ไคโตซาน เป็นสารธรรมชาติที่มีคุณสมบัติในการดักจับไขมัน จึงมีการนำมาบรรจุแคปซูลเพื่อช่วยคนอ้วนลดไขมันส่วนเกิน นั่นคือ เมื่อกินสารไคโตซานเข้าไปพร้อมอาหาร มันจะไปเกาะกับไขมันบางตัว ทำให้เกิดการรวมกลุ่มและไม่ถูกย่อยสลาย ร่างกายจึงไม่สามารถดูดซึมนำไขมันไปใช้ได้ สุดท้ายไขมันก็จะถูกขับถ่ายออกมาพร้อมกับอุจจาระ โดยไม่เป็นอันตรายและไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะมีราคาค่อนข้างแพง


          มีรายงานว่า ไคโตซานช่วยลดคอเลสเตอรอล และไขมันในเส้นเลือด โดยไคโตซานไปจับกับคอเลสเตอรอล ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมไปใช้หรือดูดซึมได้น้อยลง จึงมีการโฆษณาเป็นผลิตภัณท์ลดน้ำหนัก ทั้งนี้ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากไคโตซานสามารถจับ วิตามินที่ละลายได้ดีในไขมัน (วิตามินเอ ดี อี เค) อาจทำให้ขาดวิตามินเหล่านี้ได้ นอกจากนี้ ทางการแพทย์

          มีรายงานการนำ N-acetyl-D-glucosamine ไปใช้รักษาไขข้อเสื่อม โดยอธิบายว่า ข้อเสื่อม

เกิดเนื่องจากการสึกกร่อนของเนื้อเยื่ออ่อนที่เคลือบอยู่ระหว่างข้อกระดูก ซึ่ง glucosamine เป็นสาร
ตั้งต้นในการสังเคราะห์ proteoglycan และ matrix ของกระดูกอ่อน จึงช่วยทำให้เยื่อหุ้มกระดูกอ่อน
หนาขึ้น

ไคตินที่ได้จากแต่ละแหล่ง มีโครงสร้างและสมบัติแตกต่างกันโดยแบ่งตามลักษณะการ
เรียงตัวของเส้นใยได้ 3 กลุ่ม คือ

- แบบอัลฟา 
มีการเรียงตัวของสายโซ่โมเลกุลในลักษณะสวนทางกัน มีความแข็งแรงสูง ได้แก่ ไคติน
จากเปลือกกุ้ง และกระดองปู

- แบบเบตา 
มีการเรียงตัวของสายโซ่โมเลกุลในทิศทางเดียวกัน จึงจับกันได้ไม่ค่อยแข็งแรง มีความไว
ต่อปฏิกิริยาเคมีมากกว่าแบบอัลฟา ได้แก่ ไคตินจากแกนปลาหมึก

- แบบแกมมา 
มีการเรียงตัวของสายโซ่โมเลกุลในลักษณะที่ไม่แน่นอน (สวนทางกันสลับทิศทางเดียวกัน)
มีความแข็งแรงรองจากแบบอัลฟา ได้แก่ ไคตินจากเห็ด รา และพืชชั้นต่ำ

ไคตินในธรรมชาติอยู่รวมกับโปรตีนและเกลือแร่ ต้องนำมากำจัดเกลือแร่ออก
(demineralization) โดยใช้กรดจะได้แผ่นเหนียวหนืดคล้ายพลาสติก แล้วนำไปกำจัดโปรตีนออก
(deproteinization) โดยใช้ด่างจะได้ไคติน หากเป็นไคตินที่ได้จากเปลือกกุ้งหรือปู จะมีสีส้มปนอยู่
นำไปแช่ในเอทานอลเพื่อละลายสีออก

ส่วนไคโตซาน คือ อนุพันธ์ของไคตินที่ตัดเอาหมู่ Acetyl ของน้ำตาล
N-acetyl-D-glucosamine
(เรียกว่า deacetylation คือ เปลี่ยนน้ำตาล N-acetyl-D-glucosamine เป็น glucosamine)
ออกตั้งแต่ 50 % ขึ้นไป และมีสมบัติละลายได้ในกรดอ่อน

บทสรุป
ปกติแล้ว ไคโตซานที่ได้จะมีส่วนผสมของ น้ำตาล N-acetyl-D-glucosamine
และ glucosamine อยู่ในสายโพลิเมอร์เดียวกัน ซึ่งระดับการกำจัดหมู่ Acetyl
(หรือเปอร์เซนต์การเกิด Deacetylation) นี้
มีผลต่อสมบัติและการทำงานของไคโตซาน นอกจากนี้ น้ำหนักโมเลกุลของ
ไคโตซานบอกถึงความยาวของสายไคโตซาน ซึ่งมีผลต่อความหนืด
เช่น ไคโตซานที่มีน้ำหนักโมเลกุลสูง จะมีสายยาวและสารละลายมีความหนืด
มากกว่าไคโตซานที่มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำ เป็นต้น
ดังนั้น Beta-rod จึงได้คัดเลือก นำไคโตซานไปใช้ประโยชน์ พิจารณาทั้งเปอร์เซนต์การเกิด Deacetylationและน้ำหนักโมเลกุลอย่างลงตัวที่อยู่ใน Beta-rod นั่นเอง